เมนู

อรรถกถาทสพราหมณชาดก


พระศาสดาเมื่อเสด็จประทับอยู่ ณ พระวิหารเชตวัน ทรงพระปรารภ
อสทิสทาน ตรัสเรื่องนี้มีคำเริ่มต้นว่า ราชา อโวจ วิธูรํ ดังนี้.
เรื่องอสทิสทานนั้นมีความพิสดารปรากฏแล้ว ในวิธูรชาดกอัฏฐนิบาต
เรื่องมีว่า ปางเมื่อพระราชาจะทรงถวายทานนั้น ทรงเลือกคัดภิกษุประมาณ
500 รูป กระทำพระศาสดาให้ทรงเป็นประธาน และได้ทรงถวายทานแด่
พระมหาขีณาสพทั้งนั้น. ครั้งนั้นเมื่อภิกษุจะกล่าวคุณกถาของท้าวเธอ ยกเรื่อง
ขึ้นสนทนากันในธรรมสภาว่า ผู้มีอายุทั้งหลาย พระราชาเมื่อจะทรงถวาย
อสทิสทาน ได้ทรงเลือกถวายในภิกษุผู้เป็นที่ประดิษฐานแห่งมรรคผล. พระ-
ศาสดาเสด็จมาตรัสถามว่า ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย เมื่อกี้พวกเธอกำลังสนทนา
เรื่องอะไรกัน เมื่อพวกภิกษุพากันกราบทูลให้ทรงทราบแล้ว ตรัสว่า ดูก่อน
ภิกษุทั้งหลาย ไม่น่าอัศจรรย์เลย ที่โกศลราชผู้อุปัฏฐากของพระพุทธเจ้า
เช่นเรา ทรงเลือกถวายทาน ปวงบัณฑิตแต่ก่อน เมื่อพระพุทธเจ้ายังไม่เสด็จ
อุบัติ ก็เคยเลือกถวายแล้ว ภิกษุเหล่านั้นพากันกราบทูลอาราธนา ทรงนำอดีต
นิทานมาดังต่อไปนี้
ดูก่อนภิกษุทั้งหลาย ในอดีตกาล ครั้งพระเจ้าโกรัพยยุธิฏฐิลโคตร
เสวยราชสมบัติ ณ พระนคร อินทปัต แคว้นกุรุ. อำมาตย์ของพระองค์นามว่า
วิธูระ คอยถวายอรรถและธรรม. พระราชาทรงยังชมพูทวีปทุกแห่งหนให้
กระฉ่อน ทรงถวายมหาทาน. บรรดาคนที่รับทานนั้นบริโภค จะหาคนหนึ่ง
ที่รักษาศีล 5 ก็ไม่มีเลย ทุกคนทุศีลทั้งนั้น. ทานมิได้กระทำให้พระราชาทรง
ยินดี. พระราชาเข้าพระหทัยว่า การเลือกให้ทานมีผลมาก ทรงมีพระประสงค์

จะให้ทานแก่ผู้มีศีล ทรงดำริว่า ต้องปรึกษากับวิธูรบัณฑิต. ท้าวเธอทรง
รับสั่งให้ท่านผู้มาสู่ที่เฝ้านั่งเหนืออาสนะ ตรัสถามปัญหา.
พระศาสดา เมื่อจะทรงประกาศเนื้อความนั้น จึงตรัสกึ่งพระคาถาว่า
พระราชายุธิฏฐิลทรงปรารถนาธรรม ได้ตรัส
กะวิธูรอำมาตย์.

ต่อไปเป็นดำรัสของพระราชาและคำตอบของท่านวิธูระว่า
พระเจ้ายุธิฏฐิละผู้ทรงฝักใฝ่ในธรรม ได้ตรัสสดับ
วิธูรอำมาตย์ว่า ดูก่อนวิธูระ ท่านจงแสวงหาพราหมณ์
ทั้งหลายผู้มีศีล เป็นพหูสูต งดเว้นจากเมถุนธรรม
ซึ่งสมควรจะบริโภคโภชนาหารของฉัน ดูก่อนสหาย
ฉันจะให้ทักษิณาในพวกพราหมณ์ที่ให้ทานแล้วจักมี
ผลมาก.
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พราหมณ์ทั้งหลาย
ผู้มีศีลเป็นพหูสูต งดเว้นจากเมถุนธรรม ที่สมควรจะ
บริโภคโภชนาหารของพระองค์นั้นหาได้ยาก ข้าแต่พระ
มหาราชา ข้าพระพุทธเจ้าได้สดับมาว่า ชาติพราหมณ์
มี 10 ชาติ ขอพระองค์จงทรงสดับการจำแนกแจง
ชาติพราหมณ์เหล่านั้น ของข้าพระองค์ ชนทั้งหลาย
ถือเอากระสอบอันเต็มไปด้วยรากไม้เรียบร้อย ปิดสลาก
บอกสรรพคุณยาไว้ รดน้ำมนต์และร่ายมนต์ ข้าแต่
พระราชา ชนเหล่านั้นแม้จะเป็นเหมือนกับหมอ ก็ยัง
เรียกกันว่าเป็นพราหมณ์ ข้าแต่พระมหาราชา ข้า-

พระพุทธเจ้ากราบทูลถึงพราหมณ์พวกนั้น แก่พระองค์
แล้ว เราจะต้องการพราหมณ์เช่นนั้นหรือหาไม่
พระเจ้าข้า.

(พระเจ้าโกรัพยะตรัสดังนี้ว่า) ดูก่อนวิธูระ ชน
เหล่านั้นปราศจากคุณเครื่องความเป็นพราหมณ์ จะ
เรียกว่าเป็นพราหมณ์มิได้ ท่านจงแสวงหาพราหมณ์
เหล่าอื่นผู้มีศีล เป็นพหูสูต งดเว้นจากเมถุนธรรม
ซึ่งสมควรบริโภคโภชนาหารของฉัน ดูก่อนสหาย
ฉันจักให้ทักษิณาในพวกพราหมณ์ที่ให้ทานแล้วจักมี
ผลมาก.
ชนทั้งหลายถือกระดิ่ง ตีประกาศไปข้างหน้าบ้าง
คอยรับใช้บ้าง ศึกษาในการขับรถบ้าง ข้าแต่พระราชา
ชนเหล่านั้นแม้จะเหมือนกับคนบำเรอ ก็ยังเรียกกันว่า
เป็นพราหมณ์ ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลถึงพราหมณ์
พวกนั้น แก่พระองค์แล้ว เราจะต้องการพราหมณ์
เหล่านั้นหรือหาไม่ พระเจ้าข้า.
ดูก่อนวิธูระ ชนเหล่านั้นปราศจากคุณเครื่อง
ความเป็นพราหมณ์ จะเรียกว่าเป็นพราหมณ์ไม่ได้
ท่านจงแสวงหาพราหมณ์เหล่าอื่นผู้มีศีล เป็นพหูสูต
งดเว้นจากเมถุนธรรม ซึ่งสมควรบริโภคโภชนาหาร
ของฉัน ดูก่อนสหาย ฉันจักให้ทักษิณาในพวก
พราหมณ์ที่ให้ทานแล้วจักมีผลมาก.

พวกพราหมณ์ ถือน้ำเต้าและไม้สีฟัน คอยเข้า
ใกล้พระราชาทั้งหลาย ในบ้านและนิคมด้วยตั้งใจว่า
เมื่อคนทั้งหลายในบ้านหรือนิคมไม่ให้อะไร ๆ พวกเรา
จักไม่ลุกขึ้น ข้าแต่พระราชา ชนเหล่านั้นแม้จะเหมือน
กับผู้กดขี่ข่มเหง ก็ยังเรียกกันว่าเป็นพราหมณ์ ข้า
พระพุทธเจ้ากราบทูลถึงพราหมณ์พวกนั้น แก่พระองค์
แล้ว เราจักต้องการพราหมณ์เช่นนั้นหรือหาไม่
พระเจ้าข้า.
ดูก่อนวิธูระ คนเหล่านั้นปราศจากคุณเครื่อง
ความเป็นพราหมณ์ จะเรียกว่าเป็นพราหมณ์ไม่ได้
ท่านจงหาพราหมณ์เหล่าอื่นผู้มีศีล เป็นพหูสูต งดเว้น
จากเมถุนธรรม ซึ่งสมควรบริโภคโภชนาหารของฉัน
ดูก่อนสหาย ฉันจักให้ทักษิณาในพวกพราหมณ์ที่ให้
ทานแล้วจักมีผลมาก.
ชนทั้งหลายมีเล็บและขนรักแร้งอกยาว ฟันเขลอะ
มีธุลีบนศีรษะเกรอะกรังด้วยฝุ่นละออง เป็นพวกยาจก
ท่องเที่ยวไป ข้าแต่พระราชา ชนพวกนั้นแม้จะเหมือน
กับมนุษย์ขุดตอ ก็ยังเรียกกันว่าเป็นพราหมณ์ ข้าแต่
พระมหาราชา ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลถึงพราหมณ์
พวกนั้น แก่พระองค์แล้ว เราจะต้องการพราหมณ์
เช่นนั้นหรือหาไม่ พระเจ้าข้า.
ดูก่อนวิธูระ ชนเหล่านั้นปราศจากคุณเครื่อง
ความเป็นพราหมณ์ จะเรียกว่าเป็นพราหมณ์ไม่ได้

ท่านจงแสวงหาพราหมณ์เหล่าอื่นผู้มีศีล เป็นพหูสูต
งดเว้นจากเมถุนธรรม ซึ่งสมควรบริโภคโภชนาหาร
ของฉัน ดูก่อนสหาย ฉันจักให้ทักษิณาในพวกพราหมณ์
ที่ให้ทานเเล้วจักมีผลมาก.
ข้าแต่พระองค์ ผู้เป็นอธิบดีแห่งประชาชน
ชนทั้งหลายขายสิ่งของเครื่องชำ คือ ผลสมอ ผล
มะขามป้อม มะม่วง ชมพู่ สมอพิเภก ขนุนสำมะลอ
ไม้สีฟัน มะตูม พุทรา ผลเกด อ้อยและงบน้ำอ้อย
เครื่องโบกควัน น้ำผึ้งและยาหยอดตา ข้าแต่พระราชา
ชนเหล่านั้นแม้จะเหมือนกับพ่อค้า ก็ยังเรียกกันว่า
เป็นพราหมณ์ ข้าแต่พระมหาราชา ข้าพระองค์กราบ
ทูลถึงพราหมณ์พวกนั้นแก่พระองค์แล้ว เราจะต้อง
การพราหมณ์เช่นนั้นหรือหาไม่ พระเจ้าข้า.
ดูก่อนวิธูระ ชนเหล่านั้นปราศจากคุณเครื่อง
ความเป็นพราหมณ์ จะเรียกว่าเป็นพราหมณ์ไม่ได้
ท่านจงแสวงหาพราหมณ์เหล่าอื่นผู้มีศีล เป็นพหูสูต
งดเว้นจากเมถุนธรรม ซึ่งสมควรบริโภคโภชนาหาร
ของฉัน ดูก่อนสหาย ฉันจักให้ทักษิณาในพวก
พราหมณ์ ที่ให้ทานแล้วจักมีผลมาก.
ชนทั้งหลายใช้คนให้ทำการไถและการค้า ใช้ให้
เลี้ยงแพะเลี้ยงแกะ สู่ขอนางกุมารีทำการวิวาหมงคล
และอาวาหมงคล ชนเหล่านั้นแม้จะเหมือนกับกุฎุมพี

และคฤหบดี ก็ยังเรียกกันว่าเป็นพราหมณ์ ข้าแต่พระ-
มหาราชา ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลถึงชนพวกนั้นแก่
พระองค์แล้ว เราจะต้องการพราหมณ์เช่นนั้นหรือหา
ไม่ พระเจ้าข้า.
ดูก่อนวิธูระ ชนเหล่านั้นปราศจากคุณเครื่อง
ความเป็นพราหมณ์ จะเรียกว่าเป็นพราหมณ์ไม่ได้
ท่านจงแสวงหาพราหมณ์เหล่าอื่นผู้มีศีล เป็นพหูสูต
งดเว้นจากเมถุนธรรม ซึ่งสมควรบริโภคโภชนาหาร
ของฉัน ดูก่อนสหาย ฉันจักให้ทักษิณาในพวก
พราหมณ์ ที่ให้ทานแล้วจักมีผลมาก.
ยังอีกพวกหนึ่งเล่า เป็นปุโรหิตในบ้านบริโภค
ภิกษาที่เก็บไว้ ชนเป็นอันมากพากันถามปุโรหิตบ้าน
เหล่านั้น พวกเหล่านั้นจักรับจ้างตอนสัตว์ แม้ปศุสัตว์
คือ กระบือ สุกร แพะ ถูกฆ่าเพราะปุโรหิตชาวบ้าน
เหล่านั้น ข้าแต่พระราชา คนเหล่านั้นแม้จะเหมือน
กับคนฆ่าโค ก็ยังเรียกกันว่าเป็นพราหมณ์ ข้าแต่พระ-
มหาราชา ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลถึงชนพวกนั้นแก่
พระองค์แล้ว เราจักต้องการพราหมณ์เช่นนั้นหรือ
หาไม่ พระเจ้าข้า.
ดูก่อนวิธูระ ชนเหล่านั้นปราศจากคุณเครื่อง
ความเป็นพราหมณ์ จะเรียกว่าเป็นพราหมณ์ไม่ได้
ท่านจงแสวงหาพราหมณ์เหล่าอื่นผู้มีศีล เป็นพหูสูต

งดเว้นจากเมถุนธรรม ซึ่งสมควรบริโภคโภชนาหาร
ของฉัน ดูก่อนสหาย ฉันจักให้ทักษิณาในพวกพราหมณ์
ที่ให้ทานแล้วจักมีผลมาก.
อีกพวกหนึ่งเป็นพราหมณ์ถือดาบและโล่เหน็บ
กระบี่ ยืนเฝ้าอยู่ที่ย่านพ่อค้าบ้าง รับคุ้มครองขบวน
เกวียนบ้าง ชนเหล่านั้นแม้จะเหมือนคนเลี้ยงโคและ
นายพราน ก็ยังเรียกกันว่าเป็นพราหมณ์ ข้าแต่พระ-
มหาราชา ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลถึงพราหมณ์พวก
นั้นแก่พระองค์แล้ว เราจักต้องการพราหมณ์เช่นนั้น
หรือหาไม่ พระเจ้าข้า.
ดูก่อนวิธูระ ชนเหล่านั้นปราศจากคุณเครื่อง
ความเป็นพราหมณ์ จะเรียกว่าเป็นพราหมณ์ไม่ได้
ท่านจงแสวงหาพราหมณ์เหล่าอื่นผู้มีศีล เป็นพหูสูต
งดเว้นจากเมถุนธรรม ซึ่งสมควรบริโภคโภชนาหาร
ของฉัน ดูก่อนสหาย ฉันจักให้ทักษิณาในพวก
พราหมณ์ที่ให้ทานแล้วจักมีผลมาก.
ชนทั้งหลายปลูกกระท่อมไว้ในป่า ทำเครื่อง
ดักสัตว์ เบียดเบียนกระต่ายและเสือปลาตลอดถึงเหี้ย
ทั้งปลาและเต่า ข้าแต่พระราชา ชนทั้งหลายแม้จะ
เป็นผู้เสมอกับนายพราน เขาก็เรียกกันว่าพราหมณ์
ข้าแต่พระมหาราชา ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลถึง
พราหมณ์พวกนั้นแก่พระองค์แล้ว เราจะต้องการ
พราหมณ์เช่นนั้นหรือหาไม่ พระเจ้าข้า.

ดูก่อนวิธูระ ชนเหล่านั้นปราศจากคุณเครื่อง
ความเป็นพราหมณ์ จะเรียกว่าเป็นพราหมณ์ไม่ได้
ท่านจงแสวงหาพราหมณ์เหล่าอื่นผู้มีศีล เป็นพหูสูต
งดเว้นจากเมถุนธรรม ซึ่งสมควรบริโภคโภชนาหาร
ของฉัน ดูก่อนสหาย ฉันจักให้ทักษิณาในพวก
พราหมณ์ที่ให้ทานแล้วจักมีผลมาก.
อีกพวกหนึ่งย่อมนอนใต้เตียง เพราะปรารถนา
ทรัพย์ พระราชาทั้งหลายสรงสนานอยู่ข้างบน ใน
คราวมีพิธีโสมยาคะ ข้าแต่พระราชา ชนพวกนั้น
แม้จะเหมือนกับคนกวาดมลทิน ก็ยังเรียกกันว่าเป็น
พราหมณ์ ข้าแต่พระมหาราชา ข้าพระพุทธเจ้ากราบ
ทูลถึงพราหมณ์พวกนั้นแก่พระองค์แล้ว เราจักต้อง
การพราหมณ์เช่นนั้นหรือหาไม่ พระเจ้าข้า.
ดูก่อนวิธูระ ชนเหล่านั้นปราศจากคุณเครื่อง
ความเป็นพราหมณ์ จะเรียกเป็นพราหมณ์ก็ไม่ได้
ท่านจงแสวงทาพราหมณ์เหล่าอื่นผู้มีศีล เป็นพหูสูต
งดเว้นจากเมถุนธรรม ซึ่งสมควรจะบริโภคโภชนาหาร
ของฉัน ดูก่อนสหาย ฉันจักให้ทักษิณาในพวก
พราหมณ์ที่ให้ทานแล้วจักมีผลมาก.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สีลวนฺเต ได้แก่ ท่านผู้มีศีลที่มากับ
มรรค. บทว่า พหุสฺสุเต ได้แก่ ท่านผู้เป็นพหูสูตด้วยปฏิเวธ. บทว่า
ทกฺขิณํ ได้แก่ทาน. บทว่า เย ได้แก่หมู่สมณะและพราหมณ์ผู้ทรงธรรมเหล่าใด

ควรบริโภคทานนั้น สมณะและพราหมณ์เหล่านั้น หาได้ยาก. บทว่า พฺราหฺมณ-
ชาติโย
ได้แก่ ตระกูลของพราหมณ์. บทว่า เตสํ วิภงฺควิจยํ ความว่า
เชิญพระองค์ทรงสดับการจำแนกพราหมณ์เหล่านั้น อันเป็นความวิจิตรแห่ง
ปัญญาของข้าพระพุทธเจ้าโดยพิสดาร. บทว่า สํวุเต ได้แก่ ผูกปากร่วมไว้.
บทว่า โอสธิกาเย คนฺเถนฺติ ความว่า ประพันธ์ฉันท์อย่างนี้ว่า ยาขนาน
นี้สำหรับโรคนี้ ขนานนี้สำหรับโรคนี้ แล้วให้ฝูงคน. บทว่า นฺหาปยนฺติ
ได้แก่ ทำน้ำที่เรียกว่าน้ำสรง (น้ำมนต์). บทว่า ชปนฺติ จ ความว่า
ร่ายวิชชัมภูต. บทว่า ติกิจฺฉกสมา คือ เสมือนด้วยแพทย์. บทว่า เตปิ
วุจฺจนฺติ
ความว่า แม้พวกนั้นก็มิได้รู้เลยว่าพวกเราเป็นพราหมณ์หรือมิใช่
พราหมณ์ คงเลี้ยงชีวิตด้วยเวชกรรมเรื่อยไป ฝูงชนพากันเรียกว่า พราหมณ์
ตามโวหาร. บทว่า อกฺขาตา เต ความว่า ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลถึง
พวกพราหมณ์ที่ชื่อว่า พราหมณ์หมอเหล่านี้นั้นแล้ว. บทว่า นิปตามเส
ความว่า ท่านวิธูระกราบทูลถามว่า ข้าแต่พระองค์ผู้ทรงพระปรีชา พวกเรา
ยังจะเข้าไปหาเพื่อต้องการนิมนต์พวกพราหมณ์เช่นนั้นหรือ คือพระองค์ยังมี
ความต้องการพวกพราหมณ์เหล่านั้นอยู่หรือ.
บทว่า พฺราหมญฺญา ได้แก่ พราหมณธรรม. บทว่า น เต
วุจฺจนฺติ
ความว่า พวกนั้นจะเรียกว่า พราหมณ์ ตามความหมายว่า
ผู้มีบาปอันลอยเสียแล้วไม่ได้. บทว่า กิงฺกิณิโย ความว่า ข้าแต่พระ-
มหาราชเจ้า ยังมีพวกพราหมณ์พวกหนึ่งละทิ้งพราหมณธรรมของตนเสีย
ถือเอากังสดาลบรรเลงขับร้องไปข้างหน้าพระราชาและมหาอำมาตย์ของพระ-
ราชา เพื่อต้องการเครื่องเลี้ยงชีพ. บทว่า เปสนานิปิ ความว่า
บางทีก็รับใช้เหมือนอย่างทาสและกรรมกร. บทว่า รถจริยาสุ ความว่า
ย่อมศึกษาในรถศิลปะ. บทว่า ปริจาริกสมา คือ เสมือนทาสและกรรมกร.

บทว่า ปงฺกทณฺฑํ ได้แก่ ไม้สีฟัน. บทว่า ปจฺจุเปสฺสนฺติ ราชาโน
ความว่า พวกพราหมณ์อีกพวกหนึ่ง เข้าไปคบหาใกล้ชิดพระราชาและมหา-
อำมาตย์ของพระราชา. บทว่า คาเมสุ นิคเมสุ จ ความว่า นั่งอยู่ใกล้
ประตูนิเวศน์ของท่านเหล่านั้น. บทว่า นิคฺคาหกสมา ความว่า เป็นเสมือน
ราชบุรุษผู้เก็บภาษีอากร หมายความว่า คนเหล่านั้นกล่าวว่า เก็บไม่ได้ไม่ยอม
ไป กระทำการเร่งรัดเอาจนได้ทีเดียวฉันใด ก็คิดว่า จะไปในบ้านหรือในป่า
ก็ตาม เมื่อยังไม่ได้แล้ว พวกเราจะตายก็ไม่ขอลุกขึ้น แล้วอยู่ประจำฉันนั้น.
บทว่า เตปิ ได้แก่ แม้พวกนั้นเล่าก็เป็นเสมือนพนักงานเก็บภาษีอากร มี
บาปกรรม.
บทว่า รชชลฺเลหิ ความว่า ยังอีกพวกหนึ่งโสมมด้วยละอองฝุ่น.
บทว่า ยาจกา ได้แก่ คนขอทรัพย์ เสมือนคนขุดตอ คือเป็นผู้เสมอกับ
ก่นตอไม้ในไร่ที่เผาแล้ว ได้แก่ พวกคนที่พากันขุดดินแล้วถอนตอไม้ที่ไฟไหม้
เพราะมีร่างกายสกปรก และเพราะยืนอยู่ด้วยความไม่เคลื่อนไหวด้วยตั้งใจว่า
ไม่ได้รับไม่ไป จึงเป็นเสมือนตอไม้ที่เขาขุดขึ้นวางไว้ฉะนั้น. บทว่า เตปิ
ความว่า พวกนั้นเล่าก็เก็บออมทรัพย์ที่ได้ด้วยวิธีนั้นไว้จนร่ำรวยแล้ว ยังเที่ยว
ไปอย่างนั้นอีก เป็นพราหมณ์ทุศีล. บทว่า อุจฺฉุปูฏํ ได้แก่ อ้อยและน้ำอ้อยงบ.
บทว่า มธุอญฺชนํ ได้แก่ น้ำผึ้งและยาหยอดตา. บทว่า อุจฺจาวจานิ คือ
มีค่าน้อยและมาก. บทว่า ปณิยานิ ได้แก่ สิ่งของทั้งหลาย. บทว่า วิปเณนฺติ
ได้แก่ ย่อมซื้อขาย. บทว่า เตปิ ความว่า แม้พวกนั้นผู้ค้าขายสิ่งของเหล่านี้
เพียงเท่านี้ เลี้ยงชีพก็เป็นพราหมณ์พ่อค้า. บทว่า โปสยนฺติ คือได้เลี้ยง
เพื่อเลี้ยงชีวิตโดยทางซื้อขาย. บทว่า ปเวจฺฉนฺติ ความว่า รับเงินทองให้
ธิดาของตนแก่ผู้อื่น พวกนั้นให้แก่ผู้อื่นอย่างนี้เรียกว่า วิวาหะรับ (ธิดาของ
คนอื่น) เพื่อบุตรของตน เรียกอาวาหะ. บทว่า อมฺพฏฺฐเวเสหิ ความว่า

พวกนั้นเสมือนกับพวกกุฎุมพีและคหบดี แม้พวกนั้นก็เรียกกันว่า พราหมณ์
ด้วยอำนาจแห่งบัญญัติ. บทว่า นิกฺขิตฺตภิกฺขํ ได้แก่ยังอีกพวกหนึ่งนั้นเล่า เป็น
พวกปุโรหิตประจำบ้าน บริโภคภิกษาที่เขากะไว้เพื่อประโยชน์แก่ตน. บทว่า
พหู เน ความว่า ชนเป็นอันมาก พากันถามยามและการมงคลกะพวกปุโรหิต
ประจำบ้านเหล่านั้น. บทว่า อณฺฑจฺเฉทานิ ลญฺจกา ความว่า พวกเหล่านั้น
ยังรับจ้างตอนวัวเปลี่ยวเป็นต้น และรับจ้างสักอวัยวะเป็นรูปตรีศูลเป็นต้น คือ
กระทำเครื่องหมาย. บทว่า ตตฺถ ความว่า ในเรือนของพวกปุโรหิตประจำบ้าน
ฝูงสัตว์เลี้ยงเป็นต้นเหล่านั้น พากันถูกฆ่าเพื่อจำหน่ายเนื้อ. บทว่า เตปิ
ความว่า แม้พวกนั้นจะเป็นเสมือนคนฆ่าโค ก็ยังเรียกกันว่าพราหมณ์.
บทว่า อสิจมฺมํ ได้แก่ ดาบและเครื่องป้องกันลูกศรที่ทำด้วยหนัง.
บทว่า เวสฺสปเถสุ ได้แก่ ในทางเดินของพวกพ่อค้า. บทว่า อมฺพาหยนฺติ
ความว่า บางทีก็รับเอากระษาปณ์ 100 บ้าง 1,000 บ้าง จากมือของนายกอง
เกวียนเข้าสู่ดงย่านพวกโจรไป. บทว่า โคปนิสาเทหิ ความว่า พวกนั้นเสมือน
กับพวกนายโคบาล และพวกนายพรานคือโจรผู้ปล้นบ้าน. บทว่า เตปิ ความว่า
แม้พวกนั้นคือเห็นปานนั้นก็เรียกกันว่าพราหมณ์. บทว่า กูฏานิ การยนฺติ เต
ความว่า ยังอีกพวกหนึ่ง (สร้างกระท่อมในป่า) ก่อสร้างกลโกงต่าง ๆ มี
บ่วงแร้วเป็นต้น. บทว่า สสํ วิฬารํ ความว่า ดักมฤคที่เที่ยวไปบนบก
ซึ่งแสดงความคำว่า กระต่ายและแมวนั้น. บทว่า อาโคธา มจฺฉกจฺฉปํ
ความว่า เบียดเบียนคือฆ่าเสีย ซึ่งบรรดาสัตว์ที่เกิดบนบก ที่มีชีวิตใหญ่และ
เล็ก จนถึงเหี้ยเป็นที่สุด บรรดาสัตว์เกิดในน้ำ ก็ฝูงปลาและเต่า. บทว่า เตปิ
คือ แม้พวกนั้นจะเสมือนพรานผู้ฉกาจ ก็ยังเรียกกันว่าพราหมณ์. บทว่า อญฺเญ
ธนสฺส กามาหิ
ความว่า ยังมีพราหมณ์พวกหนึ่ง ปรารถนาแต่จะได้ทรัพย์.
บทว่า เหฏฺฐา มญฺเจ ปสกฺขิตา ความว่า พวกนั้นคิดว่า พวกเราจักได้

กระทำกรรมคือการไล่กลี แล้วให้สร้างเตียงอันสำเร็จด้วยแก้ว มุดเข้าไปนอน
อยู่ใต้เตียงแก้วนั้น ครั้นถึงวิธีโสมยาคะของพวกนั้น พระราชาทั้งหลาย ก็ทรง
สรงในเบื้องบน ได้ยินว่า พวกนั้นครั้นพิธีโสมยาคะเสร็จแล้ว พากันมานั่ง
เหนือเตียงนั้น ลำดับนั้น พราหมณ์พวกอื่นดำริว่า พวกเราจักขับกลี ก็ให้
พวกนั้นอาบน้ำ เตียงแก้วและราชาลังการของพระราชาทุกอย่าง เป็นของผู้นอน
ใต้เตียงทั้งนั้น. บทว่า เตปิ ความว่า แม้พวกนั้นจะเสมือนกับคนกวาดมลทิน
คือคนที่เขาอาบรดก็เรียกกันว่าพราหมณ์.
พระโพธิสัตว์กราบทูลแถลงถึงพวกพราหมณ์ เพียงบัญญัติเรียกเหล่านี้
ด้วยประการฉะนี้แล้ว คราวนี้เมื่อจะทูลแถลงถึงพราหมณ์ผู้มีประโยชน์ยอดเยี่ยม
ได้กราบทูลคาถา 2 คาถาว่า
ข้าแต่พระองค์ผู้สมมติเทพ พราหมณ์ทั้งหลาย
ผู้มีศีล เป็นพหูสูต งดเว้นจากเมถุนธรรม ซึ่งสมควร
บริโภคโภชนาหารของพระองค์ มีอยู่แล พราหมณ์
เหล่านั้นบริโภคภัตตาหารหนเดียว และไม่ดื่มน้ำเมา
ข้าแต่พระมหาราชา ข้าพระพุทธเจ้ากราบทูลถึง
พราหมณ์เหล่านั้นแก่พระองค์แล้ว พวกเราคงต้องการ
พราหมณ์เช่นนี้ซิ พระเจ้าข้า.

บรรดาบทเหล่านั้น บทว่า สีลวนฺโต ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยอริยศีล.
บทว่า พหุสฺสุตา ได้แก่ ผู้ประกอบด้วยความเป็นพหูสูตเพราะปฏิเวธ.
บทว่า ตาทิเส ความว่า พวกเราคงจะเข้าใกล้พราหมณ์ คือพระปัจเจก-
พุทธเจ้า ผู้มีบาปอันลอยเสียแล้ว เห็นปานนั้น.

พระราชาทรงสดับคำของท่านแล้ว ตรัสถามว่า สหายวิธูระ ท่าน
พราหมณ์ผู้เป็นทักขิไณยบุคคลเลิศเช่นนี้ อยู่ที่ไหนเล่า. กราบทูลว่า ข้าแต่
พระมหาราชเจ้า ท่านอยู่ ณ เงื้อมเขานันทมูล ในหิมวันต์ตอนเหนือ
พระเจ้าข้า. รับสั่งว่า พ่อบัณฑิต ถ้าเช่นนั้นเธอจงช่วยแสวงหาท่านพราหมณ์
พวกนั้นแก่เราด้วยกำลังของเธอเถิด ทรงดีพระฤทัยตรัสคาถาว่า
ดูก่อนวิธูระ พราหมณ์เหล่านั้นแหละเป็นผู้มีศีล
เป็นพหูสูต ดูก่อนวิธูระ ท่านจงแสวงหาพราหมณ์
พวกนั้น และจงเชิญพราหมณ์พวกนั้นมาโดยเร็วด้วย-
เถิด.

พระมหาสัตว์รับพระดำรัสของพระองค์ด้วยคำว่า สาธุ กราบทูลว่า
ข้าแต่มหาราชเจ้า ถ้าเช่นนั้นพระองค์ให้ราชบุรุษนำกลองออกไปเที่ยวตีประกาศ
ว่า ชาวพระนครทุกคนจงตกแต่งพระนครพากันให้ทาน อธิษฐานอุโบสถและ
ถือศีลจงทั่วกันเถิด แม้พระองค์ก็ทรงสมาทานอุโบสถกับชนผู้เป็นบริษัทเถิด
พระเจ้าข้า ตนเองพอรุ่งเช้าบริโภคแล้ว สมาทานอุโบสถ ตอนเย็นให้คนนำ
ผอบทองเต็มด้วยดอกไม้ตามธรรมชาติ กับพระราชาประดิษฐานเบญจางค-
ประดิษฐ์ระลึกถึงพระคุณทั้งหลาย แห่งพระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย กราบไหว้
แล้วนิมนต์ด้วยคำว่า ขอพระปัจเจกพุทธเจ้าประมาณ 500 องค์ผู้สถิตอยู่ ณ
เงื้อมเขานันทมูลกะในหิมวันตประเทศตอนเหนือ จงรับภิกษาของข้าพเจ้า
ทั้งหลายในวันพรุ่งนี้ แล้วทิ้งกำดอกไม้ 8 กำไปในอากาศ. ครั้งนั้นพระปัจ-
เจกพุทธเจ้า 500 องค์ อยู่ ณ ที่นั้น. ดอกไม้ทั้งหลายลอยไปตกลงใน
เบื้องบนสำนักแห่งพระปัจเจกพุทธเจ้าเหล่านั้น. พระคุณท่านนึกอยู่รู้เหตุนั้น
แล้วกล่าวว่า ท่านผู้มีเนียรทุกข์ทั้งหลาย ชาวเราวิธูรบัณฑิตนิมนต์แล้ว ก็แหละ

ท่านผู้นี้มิใช่สัตว์พอดีพอร้าย ท่านผู้นี้เป็นหน่อเนื้อแห่งพระพุทธเจ้า จักได้
ตรัสรู้เป็นพระพุทธเจ้าในกัปนี้แล พวกเราต้องการทำสงเคราะห์ท่าน พากัน
รับนิมนต์. พระมหาสัตว์ทราบการที่พระปัจเจกพุทธเจ้ารับนิมนต์ ด้วยสัญญา
ที่ดอกไม้ทั้งหลายไม่คืนมา กราบทูลว่า ข้าแต่พระมหาราชเจ้า พระปัจเจก-
พุทธเจ้าทั้งหลายจักพากันมา เชิญพระองค์ทรงกระทำสักการะและสัมมานะเถิด
พระเจ้าข้า. วันรุ่งขึ้น พระราชาทรงกระทำสักการะใหญ่โต ให้ตกแต่งอาสนะ
อันควรค่ามาก ในท้องพระโรงหลวง ฝ่ายพระปัจเจกพุทธเจ้านั้น พากันกระทำ
ปรนนิบัติสรีระในสระอโนดาต เสร็จแล้วกำหนดเวลาพากันมาทางอากาศลงที่
ท้องพระลานหลวง พระราชาและพระโพธิสัตว์ มีใจเลื่อมใส รับบาตรจาก
หัตถ์แห่งพระคุณท่านเหล่านั้น เชิญขึ้นปราสาท ให้นั่งแล้ว ถวายทักษิโณทก
อังคาสด้วยขาทนียะและโภชนียะ อันประณีต ในที่สุดแห่งภัตกิจของพระคุณ-
ท่านเหล่านั้น ก็นิมนต์เพื่อฉันในวันรุ่งขึ้น ๆ ต่อ ๆ กันไป รวมเป็น 7 วัน
ด้วยวิธีนี้ถวายมหาทานในวันคำรบ 7 ได้ถวายบริขารทั้งปวง. พระคุณท่าน
เหล่านั้นกระทำอนุโมทนาแล้ว พากันไป ณ เงื้อมเขานันทมูลกะนั้นทางอากาศ.
บริขารทั้งหลายเล่า ก็ไปพร้อมกันกับพระคุณท่านทีเดียวแล.
พระศาสดาทรงนำพระธรรมเทศนานี้มาแล้วตรัสย้ำว่า ดูก่อนภิกษุ
ทั้งหลาย การที่โกรัพยราชผู้อุปัฏฐากของเราถวายวิเจยยทาน (การเลือกแล้วให้)
ไม่น่าอัศจรรย์ บัณฑิตแต่ปางก่อนถึงพระพุทธเจ้า ยังไม่อุบัติ ก็ได้ถวายทาน
แล้วเหมือนกัน ทรงประชุมชาดกว่า พระราชาในครั้งนั้นได้มาเป็นอานนท์
พระปัจเจกพุทธเจ้าทั้งหลาย ปรินิพพานแล้ว ส่วนวิธูรบัณฑิต ได้มาเป็น
เราตถาคตแล.
จบอรรถกถาทสพราหมณชาดก

13. ภิกษุปรัมปรชาดก



ว่าด้วยการให้ทานในท่านใด มีผลมาก


[2024] ข้าพระพุทธเจ้าได้เห็นพระองค์ผู้ทรง
เป็นสุขุมาลชาติ เคยประทับในพระตำหนักอัน
ประเสริฐ ทรงบรรทมเหนือพระยี่ภู่อันใหญ่โต เสด็จ
จากแว่นแคว้นมาสู่ดง จึงได้ทูลถวายข้าวสุกอย่างดี
แห่งข้าวสาลี เป็นภัตอันวิจิตร มีแกงเนื้ออันสะอาด
ด้วยความรักต่อพระองค์ พระองค์ทรงรับภัตนั้นแล้ว
มิได้เสวยด้วยพระองค์เอง ได้พระราชทานแก่พราหมณ์
ข้าพระพุทธเจ้าขอถวายบังคมพระองค์ ข้อนี้เป็นธรรม
อะไรของพระองค์.

[2025] พราหมณ์เป็นอาจารย์ของฉัน เป็นผู้
ขวนขวายในกิจน้อยกิจใหญ่ ทั้งเป็นครูและเป็นผู้คอย
ตักเตือน ฉันควรให้โภชนะ.

[2026] บัดนี้ ข้าพเจ้าขอถามท่านพราหมณ์ผู้
โคดมอันพระราชาทรงบูชา พระราชาทรงพระราช-
ทานภัต อันมีแกงเนื้ออย่างสะอาดแก่ท่าน ท่านรับ
ภัตนั้นแล้วได้ถวายโภชนะแก่ฤาษี ชะรอยท่านจะรู้ว่า
ตนมิได้เป็นเขตแห่งทาน ข้าพเจ้าขอนอบน้อมแก่ท่าน
ธรรมข้อนี้เป็นธรรมอะไรของท่าน.